ความเครียด การสนับสนุนทางสังคม และการเข้ามามีส่วนร่วมของบิดาในระยะหลังคลอด
Keywords:
ความเครียด, การสนับสนุนทางสังคม, บิดา, การเข้ามามีส่วนร่วม, ระยะหลังคลอดAbstract
การเข้ามามีส่วนร่วมของบิดามีความสำคัญเป็นอย่างมากต่อภาวะสุขภาพร่างกาย และจิตใจของบิดา มารดา และบุตรหลังคลอด การวิจัยเชิงพรรณนาแบบหาความสัมพันธ์ครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่าง ความเครียด การสนับสนุนทางสังคม และการเข้ามามีส่วนร่วมของบิดาในระยะหลังคลอด กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้เป็นบิดาครั้งแรก ที่ภรรยาคลอดบุตรและอยู่ในระยะ 6 - 8 สัปดาห์หลังคลอด มารับบริการคลินิกวางแผนครอบครัวและคลินิกสุขภาพเด็กดี ณ โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ โรงพยาบาลนครพิงค์ และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพเชียงใหม่ระหว่างเดือนพฤษภาคม 2556 ถึง เดือนกรกฎาคม 2556 จำนวน 102 ราย เลือกกลุ่มตัวอย่างตามคุณสมบัติที่กำหนด เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูล คือแบบสอบถามการเข้ามามีส่วนร่วมของบิดาในระยะหลังคลอด แบบสอบถามความเครียดสวนปรุง และแบบสอบถามการสนับสนุนทางสังคม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรที่ศึกษา โดยใช้สถิติสัมประสิทธ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน
ผลการวิจัยพบว่า
1. บิดาส่วนใหญ่เข้ามามีส่วนร่วมในระยะหลังคลอดอยู่ในระดับมาก ร้อยละ 89.22 มีคะแนนการเข้ามามีส่วนร่วมของบิดาในระยะหลังคลอดเฉลี่ย 109.87 คะแนน (S.D. = 11.29)
2. บิดามีความเครียดอยู่ในระดับปานกลางและมีความเครียดระดับน้อย ร้อยละ 43.14 และร้อยละ 41.18 ตามลำดับ มีคะแนนความเครียดเฉลี่ย 27.98 คะแนน (S.D. = 14.99)
3. บิดาส่วนมากได้รับการสนับสนุนทางสังคมอยู่ในระดับมาก ร้อยละ 74.51มีคะแนนการสนับสนุนทางสังคมโดยรวมเฉลี่ย 4.11 (S.D. = 0.56)
4. ความเครียดมีความสัมพันธ์ทางลบระดับต่ำ กับการเข้ามามีส่วนร่วมของบิดาในระยะหลังคลอด อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 (r= -0.245, p< 0.05) และการสนับสนุนทางสังคมมีความสัมพันธ์ทางบวกระดับปานกลาง กับการเข้ามามีส่วนร่วมของบิดาในระยะหลังคลอด อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 (r= 0.375, p<0.01)
จากผลงานวิจัยครั้งนี้มีข้อเสนอแนะว่า ควรประเมินความเครียดในระยะหลังคลอดของผู้เป็นบิดา และควรสนับสนุนให้บิดาได้รับการสนับสนุนทางสังคมจากภรรยา บุคคลรอบข้าง และพยาบาลผดุงครรภ์ เพื่อส่งเสริมให้บิดาเข้ามามีส่วนร่วมในระยะหลังคลอด
Downloads
How to Cite
Issue
Section
License
บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของวารสารพยาบาลสาร
ข้อความที่ปรากฏในบทความแต่ละเรื่องในวารสารวิชาการเล่มนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนแต่ละท่านไม่เกี่ยวข้องกับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และคณาจารย์ท่านอื่นๆในมหาวิทยาลัยฯ แต่อย่างใด ความรับผิดชอบองค์ประกอบทั้งหมดของบทความแต่ละเรื่องเป็นของผู้เขียนแต่ละท่าน หากมีความผิดพลาดใด ๆ ผู้เขียนแต่ละท่านจะรับผิดชอบบทความของตนเองแต่ผู้เดียว