วารสารการพยาบาลและการดูแลสุขภาพ
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jnat-ned
<p><strong>วารสารการพยาบาลและการดูแลสุขภาพ </strong></p> <p><strong>Journal of Nursing and Therapeutic Care</strong></p> <p><strong><span class="font-weight-bold" data-v-4fadc455="">ISSN:</span> 2985-1432 (Online)</strong></p> <p>วารสารการพยาบาลและการดูแลสุขภาพ ชื่อเดิม: วารสารสมาคมพยาบาลฯ สาขาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ</p> <p>วารสารการพยาบาลและการดูแลสุขภาพ เป็นของสมาคมพยาบาลแห่งประเทศไทยฯ สาขาภาคตะวันออกเฉียงเหนือได้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นสื่อกลางของบุคลากรวิชาชีพการพยาบาลฯ การดูแลสุขภาพ และผู้ที่เกี่ยวข้อง ในการส่งเสริมเผยแพร่ความรู้และแนวปฏิบัติจากงานวิจัย บทความวิชาการ และบทความอื่นๆที่น่าสนใจ <strong>เพื่อเพิ่มพูนความเข้มแข็งทางวิชาชีพการพยาบาลและการดูแลสุขภาพ</strong> ดังนั้นจึงใคร่ขอเชิญชวนให้พยาบาลทุกท่านและผู้ที่เกี่ยวข้องที่สนใจส่งบทความมาเผยแพร่ในวารสารนี้ กองบรรณาธิการยินดีรับเรื่องที่ท่านส่งมาและยินดีสรรหาผู้เชี่ยวชาญในเรื่องที่ท่านเขียน มาให้ข้อเสนอแนะ ในการปรับปรุงต้นฉบับให้ได้คุณภาพอย่างสมบูรณ์แบบ</p> <p>ตีพิมพ์ปีละ 4 ฉบับ ทุก ๆ 3 เดือน</p> <p>ฉบับที่ 1 มกราคม-มีนาคม</p> <p>ฉบับที่ 2 เมษายน – มิถุนายน</p> <p>ฉบับที่ 3 กรกฎาคม – กันยายน</p> <p>ฉบับที่ 4 ตุลาคม – ธันวาคม</p>
th-TH
[email protected] (รองศาสตราจารย์ ดร. จันทร์ทิรา เจียรณัย)
[email protected] (ภานุมาศ หาญสุริย์)
Wed, 21 Feb 2024 11:41:52 +0700
OJS 3.3.0.8
http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss
60
-
ผลของโปรแกรมส่งเสริมสุขภาพจิต “รู้ สร้าง สุข” ต่อ ความรอบรู้ทางด้านสุขภาพจิตและความสุขของผู้สูงอายุ
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jnat-ned/article/view/269022
<p>การวิจัยนี้ครั้งนี้เป็นวิจัยกึ่งทดลอง (quasi-experimental research design) แบบกลุ่มเดียวทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมส่งเสริมสุขภาพจิต “รู้ สร้าง สุข” ต่อความรอบรู้ทางด้านสุขภาพจิตและความสุขของผู้สูงอายุ ผู้วิจัยได้พัฒนาโปรแกรมส่งเสริมสุขภาพจิต โดยใช้กรอบแนวคิดการดูแลตนเองของของโอเร็ม ความรอบรู้ทางด้านสุขภาพจิต ความสุขและแนวทางการสร้างสุข 5 มิติ ประกอบด้วย 4 กิจกรรม ได้แก่ 1) อยากรู้ไหม ใครมีความสุข 2) สุขนั้นสำคัญไฉน 3) เคล็ดลับสร้างสุข และ 4) สร้างสุขด้วยตนเอง โดยใช้ระยะเวลา 1 สัปดาห์ กลุ่มตัวอย่างคือผู้สูงอายุในจังหวัดนครราชสีมา ที่มีการคัดเลือกด้วยวิธีการสุ่มแบบกลุ่ม และสุ่มอย่างง่าย จำนวน 26 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบประเมินความรอบรู้ด้านสุขภาพจิต และดัชนีชี้วัดความสุขคนไทย วิเคราะห์ความเชื่อมั่นของแบบสอบถามโดยการหาค่าสัมประสิทธิ์แอลฟ่า ได้ค่าความเชื่อมั่น .81 และ .89 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปของกลุ่มตัวอย่างด้วยสถิติเชิงพรรณนา เปรียบเทียบความแตกต่างของคะแนน ก่อนการเข้าร่วมโปรแกรม หลังเข้าร่วมโปรแกรมทันที และ 1 สัปดาห์หลังเข้าร่วมโปรแกรม โดยใช้สถิติ Friedman’s test และทดสอบความแตกต่างรายคู่โดยใช้สถิติ Wilcoxon signed-ranks test</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) คะแนนความรอบรู้ทางด้านสุขภาพจิตของผู้สูงอายุมีความแตกต่างกันอย่างน้อย 1 คู่ โดยคะแนนความรอบรู้ทางด้านสุขภาพจิต 1 สัปดาห์หลังเข้าร่วมโปรแกรม สูงกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรมอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05 2) คะแนนความสุขของผู้สูงอายุมีความแตกต่างกันอย่างน้อย 1 คู่ โดยคะแนนความสุขหลังเข้าร่วมโปรแกรมทันที และ 1 สัปดาห์หลังเข้าร่วมโปรแกรม สูงกว่าก่อนการเข้าร่วมโปรแกรมอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05 ดังนั้นโปรแกรมส่งเสริมสุขภาพจิตที่ได้จากการศึกษาครั้งนี้สามารถนำไปปรับใช้ในการส่งเสริมความรอบรู้ทางด้านสุขภาพจิตและความสุขในกลุ่มผู้สูงอายุได้</p>
ประกายฝัน นามวาท, บงกชพร ใบโพธิ์, นิธิดา อินลุเพท, นุริยดา บุญสิทธิ์, พรทิพา ลอยประโคน, ประภาสิริ ก้านทองหลาง, จุรีภรณ์ อินทกูล, กะตั้น ศรีวัฒนพงษ์, กชกร ฉายากุล
Copyright (c) 2024 วารสารการพยาบาลและการดูแลสุขภาพ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jnat-ned/article/view/269022
Wed, 27 Mar 2024 00:00:00 +0700
-
ผลการใช้แนวปฏิบัติการพยาบาลจากหลักฐานเชิงประจักษ์เพื่อเฝ้าระวังและป้องกันอาการทรุดลงจากภาวะแทรกซ้อนในผู้ป่วยหลอดเลือดสมองโป่งพองแตก
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jnat-ned/article/view/268386
<p>การวิจัยและพัฒนานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาแนวปฏิบัติการพยาบาลจากหลักฐานเชิงประจักษ์เพื่อเฝ้าระวังและป้องกันอาการทรุดลงจากภาวะแทรกซ้อนในผู้ป่วยหลอดเลือดสมองโป่งพองแตก ที่รักษาในโรงพยาบาลมหาราช นครราชสีมา ดำเนินการวิจัยระหว่างเดือนกันยายน พ.ศ. 2565 ถึงธันวาคม พ.ศ. 2566 แบ่งเป็น 3 ระยะได้แก่ 1) พัฒนาแนวปฏิบัติการพยาบาลจากหลักฐานเชิงประจักษ์ ใช้กรอบแนวคิดของซูคัพ ผู้ทรงคุณวุฒิตรวจสอบคุณภาพของแนวปฏิบัติโดยใช้ AGREE-II ได้คุณภาพเท่ากับ ร้อยละ 88.98 2) ทดลองใช้แนวปฏิบัติฯ 3) ประเมินผลการใช้แนวปฏิบัติ กลุ่มตัวอย่าง เลือกแบบเจาะจงจากเกณฑ์คัดเข้าผู้ป่วยหลอดเลือดสมองโป่งพองแตกครั้งแรก ที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา และได้รับการผ่าตัดหนีบเส้นเลือดโป่งพอง จำนวน 25 ราย เปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุมซึ่งได้จากการรวบรวมข้อมูลจากเวชระเบียนของผู้ป่วยที่รับการผ่าตัดหนีบเส้นเลือดโป่งพองรายเก่า จำนวน 25 ราย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แนวปฏิบัติการพยาบาลจากหลักฐานเชิงประจักษ์ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น แบบประเมินอาการทรุดลง แบบประเมินการปฏิบัติของพยาบาลวิชาชีพ และความพึงพอใจจากการใช้แนวปฏิบัติฯ วิเคราะห์ข้อมูล โดยแจกแจงความถี่ ร้อยละ สถิติการทดสอบไคสแควร์และแมนวิทนีย์ยู</p> <p>ผลการศึกษา ได้แนวปฏิบัติการพยาบาลจากหลักฐานเชิงประจักษ์เพื่อเฝ้าระวังและป้องกันอาการทรุดลงจากภาวะแทรกซ้อนในผู้ป่วยหลอดเลือดสมองโป่งพองแตกที่มีคุณภาพ เปรียบเทียบผลลัพธ์ทางคลินิก ได้แก่ อุบัติการณ์ผู้ป่วยทรุดลงจากรายงานแพทย์ล่าช้า ภาวะแทรกซ้อน อัตราตาย การผ่าตัดซ้ำภายใน 24 ชั่วโมง การย้ายกลับหอผู้ป่วยหนักโดยไม่ได้วางแผน และจำนวนวันนอน พบว่าแตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มทดลองมีวันนอนหอผู้ป่วยหนักและในโรงพยาบาลของผู้ป่วยต่ำกว่าก่อนใช้แนวปฏิบัติฯ ทีมรักษาพยาบาลจึงเห็นว่าแนวปฏิบัติมีคุณภาพในระดับที่ยอมรับ และมีประโยชน์ในการนำไปใช้เป็นเครื่องมือในการประเมินและป้องกันอาการทรุดลงจากภาวะแทรกซ้อน เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีไม่เกิดอุบัติการณ์ผู้ป่วยทรุดลง</p>
กรรณิกา โหตกษาปน์กุล, สินิทรา หาญนอก, ศิริพร หัวใจแก้ว, สุภาพร สุขพิมาย
Copyright (c) 2024 วารสารการพยาบาลและการดูแลสุขภาพ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jnat-ned/article/view/268386
Wed, 21 Feb 2024 00:00:00 +0700
-
การพัฒนาแนวทางการคัดกรองผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดโรงพยาบาลกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jnat-ned/article/view/269055
<p>การคัดกรองผู้ป่วยที่มาด้วยอาการเจ็บหน้าอกหรืออาการอื่น ๆ ของโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดอย่างมีประสิทธิภาพจะส่งผลลัพธ์ที่ดีต่อการรักษาผู้ป่วย บริบทของโรงพยาบาลกุมภวาปี ซึ่งเป็นโรงพยาบาลระดับทุติยภูมิมักทำให้มีข้อจำกัดในการคัดกรองดังกล่าว การศึกษาเชิงปฏิบัติการนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาแนวทางการคัดกรองผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด โรงพยาบาลกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี กลุ่มตัวอย่างคัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจง ประกอบด้วย พยาบาลวิชาชีพ จำนวน 7 คน และผู้ป่วยที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์ จำนวน 21 คน ระยะเวลาศึกษาตั้งแต่ สิงหาคม พ.ศ. 2566 ถึง มกราคม พ.ศ. 2567 ดำเนินการ 4 ระยะ ได้แก่ 1) ศึกษาสถานการณ์ 2) พัฒนารูปแบบฯ 3) ทดลองใช้ 4) สรุปและประเมินผล เครื่องมือที่ใช้ ประกอบด้วย แนวทางการคัดกรองผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ที่มีดัชนีความตรงตามเนื้อหาเท่ากับ 0.80 แบบประเมินความพึงพอใจของผู้รับบริการและผู้ให้บริการที่มีดัชนีความตรงตามเนื้อหาเท่ากับ 0.82 และ 0.86 และสัมประสิทธิ์อัลฟาของครอนบาคเท่ากับ 0.88 และ 0.86 ตามลำดับ แบบบันทึกข้อมูลส่วนบุคคลและแนวคำถามปลายเปิดกึ่งโครงสร้าง วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ โดยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหาและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณโดยสถิติเชิงพรรณนา</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า ได้แนวทางการคัดกรองผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด 2 แนวทาง ได้แก่ แนวทางการคัดกรองผู้ป่วยที่มาด้วยอาการ Typical chest pain และแนวทางการคัดกรองผู้ป่วยที่มาด้วยอาการ Atypical chest pain หลังการทดลองใช้ พบว่า ผู้ป่วยได้รับการตรวจวินิจฉัยที่ถูกต้องสูงถึง ร้อยละ 91.40 ได้รับการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจภายใน 10 นาที ร้อยละ 85.60 แต่เวลาการได้รับยาส่วนใหญ่มากกว่า 30 นาที เนื่องจากได้รับการวินิจฉัย ภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันชนิดเอสทีไม่ยก ร้อยละ 85.60 ผู้ป่วยและเจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่มีความพึงพอใจในระดับมากที่สุด แนวทางการคัดกรองผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจ ขาดเลือดทำให้พยาบาลคัดกรองสามารถระบุผู้ป่วยให้ได้รับการตรวจวินิจฉัยและรักษารวดเร็ว</p>
ปุณิกา ศรีพรมมา, อนันต์ศักดิ์ จันทรศรี
Copyright (c) 2024 วารสารการพยาบาลและการดูแลสุขภาพ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jnat-ned/article/view/269055
Tue, 19 Mar 2024 00:00:00 +0700
-
ผลการใช้รูปแบบ “Smart kids by SEND STEP” ในการพัฒนาทักษะสมอง เด็กอายุ 2-6 ปี ในอำเภอราษีไศล จังหวัดศรีสะเกษ
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jnat-ned/article/view/269077
<p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลการใช้รูปแบบ “Smart kids by SEND STEP” ในการพัฒนาทักษะสมอง (Executive function) เด็กอายุ 2-6 ปี ในอำเภอราษีไศล จังหวัดศรีสะเกษ ขั้นตอนการศึกษาประกอบด้วย 1) การวางแผน (Plan) 2) การปฏิบัติ (Action) 3) สังเกตผล (Observe) 4) การสะท้อนผล (Reflect) คัดเลือกผู้เข้าร่วมวิจัยแบบเจาะจง 2 กลุ่ม ประกอบด้วย 1) กลุ่มตัวอย่างในการวิจัย เด็กอายุ 2-6 ปี ในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก จำนวน 26 คน และ2) ครูผู้ดูแลเด็กในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กที่มีส่วนร่วม จำนวน 6 คน ศึกษาระหว่างเดือน พฤศจิกายน พ.ศ. 2565 – เมษายน พ.ศ. 2566 วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพใช้การวิเคราะห์เชิงเนื้อหาและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ แบบประเมินการคิดเชิงบริหาร พัฒนาการความฉลาดทางอารมณ์ โภชนาการ โดยการแจกแจงความถี่ ค่าเฉลี่ย ร้อยละและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานผลวิจัยพบว่า ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กมีการใช้รูปแบบ“Smart kids by SEND STEP” ประกอบด้วย 1) S:SELF การส่งเสริมพัฒนาการด้านตัวตนของเด็ก 2) E: Executive function การส่งเสริมทักษะสมอง 9 ด้าน 3) N: Nutrition โภชนาการที่เหมาะสมตามวัย เน้น ยาเสริมธาตุเหล็กและไอโอดีน 4) D: Devolvement พัฒนาการ ด้าน ร่างกาย อารมณ์ สังคม สติปัญญา และ 5) S: SEND ระบบส่งต่อข้อมูลดูแลเด็กระหว่างครอบครัว ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก และเจ้าหน้าที่สาธารณสุข พบว่าหลังใช้รูปแบบครูมีความมั่นใจในการจัดทำแผนส่งเสริมทักษะสมองและใช้แผนในการทำกิจกรรมกับเด็กมากขึ้น เด็กปฐมวัยกลุ่มตัวอย่าง มีคะแนนพัฒนาการด้านการคิดเชิงบริหารเพิ่มขึ้น ร้อยละ 42.31 ความฉลาดทางอารมณ์เพิ่มขึ้นร้อยละ 76.92</p> <p>มีภาวะโภชนาการตามเกณฑ์ร้อยละ 73.08 มีพัฒนาการสมวัยร้อยละ 96.15 ครูมีความพึงพอใจรูปแบบในระดับพึงพอใจมาก รูปแบบ “Smart kids by SEND STEP” สามารถเพิ่มทักษะทางสมอง ความฉลาดทางอารมณ์ สร้างความมั่นใจให้ครูในการส่งเสริมทักษะสมองและมีการนำรูปแบบนี้ไปใช้ในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กทุกแห่ง</p>
นงคราญ สมยืน
Copyright (c) 2024 วารสารการพยาบาลและการดูแลสุขภาพ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jnat-ned/article/view/269077
Wed, 27 Mar 2024 00:00:00 +0700
-
ผลของการใช้สื่อการสอนแฮมเบอร์เกอร์โมเดลข้าวหลามโมเดลในการเรียนวิชากายวิภาคศาสตร์และสรีรวิทยาต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความพึงพอใจต่อการเรียนของนักศึกษาพยาบาล
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jnat-ned/article/view/268525
<p>การศึกษาผลของการใช้สื่อการสอนแฮมเบอร์เกอร์โมเดลและข้าวหลามโมเดลในการเรียนวิชากายวิภาคศาสตร์และสรีรวิทยาเป็นการวิจัยกึ่งทดลองมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชากายวิภาคศาสตร์และสรีรวิทยาของนักศึกษาพยาบาลศาสตร์ก่อนเรียนและหลังเรียนโดยการใช้สื่อการสอนแฮมเบอร์เกอร์โมเดลแสดงโครงสร้างของเซลล์และข้าวหลามโมเดลแสดงโครงสร้างของเซลล์กล้ามเนื้อ 2) ศึกษาความพึงพอใจของนักศึกษาต่อการเรียนวิชากายวิภาคศาสตร์และสรีรวิทยาของนักศึกษาพยาบาลศาสตร์ในการใช้สื่อการสอนแฮมเบอร์เกอร์โมเดล ข้าวหลามโมเดล กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาพยาบาลที่ลงทะเบียนเรียนรายวิชากายวิภาคศาสตร์และสรีรวิทยา วิทยาลัยพยาบาลบรมราชนนี สุราษฎร์ธานี ชั้นปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 34 คน ได้มาจากการจากการเลือกแบบเจาะจง เรียนรู้โดยใช้แฮมเบอร์เกอร์โมเดล ข้าวหลามโมเดล เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและแบบวัดความพึงพอใจการเรียนรู้โดยใช้สื่อการสอนแฮมเบอร์เกอร์โมเดล ข้าวหลามโมเดล วิเคราะห์หาความยากง่ายของแบบทดสอบ ระดับดีถึงดีมาก <em>p</em> = 0.4–0.6 และค่าอำนาจจำแนกที่มี ค่า 0.4 ขึ้นไป นำแบบทดสอบที่ผ่านการคัดเลือกมาวิเคราะห์ค่าความเชื่อมั่น ของแบบทดสอบ โดยใช้สูตร KR-20 ของคูเดอร์-ริชาร์ดสัน มีค่าความเชื่อมั่นที่ .75 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการหาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและการทดสอบค่าที</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาพยาบาลที่ได้รับการเรียนรู้โดยใช้แฮมเบอร์เกอร์โมเดลและข้าวหลามโมเดลมีคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนด้วยสื่อการสอนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001 และ 2) นักศึกษามีความพึงพอใจต่อการเรียนรู้โดยใช้สื่อการสอนแฮมเบอร์เกอร์โมเดลข้าวหลามโมเดลอยู่ในระดับมากที่สุด ดังนั้นจึงควรใช้สื่อการสอนแฮมเบอร์เกอร์โมเดลและข้าวหลามโมเดลในการจัดการเรียนสอนเนื่องจากเป็นสื่อที่หาได้ง่ายในชีวิตประจำวันนักศึกษาสามารถใช้ทบทวนสาระการเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง</p>
ฐิตาพร วรภัณฑ์วิศิษฎ์
Copyright (c) 2024 วารสารการพยาบาลและการดูแลสุขภาพ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jnat-ned/article/view/268525
Mon, 18 Mar 2024 00:00:00 +0700
-
ประสิทธิผลของโปรแกรมการพัฒนาทักษะชีวิตต่อความรู้และพฤติกรรมการป้องกันการใช้ สารเสพติดของนักเรียนโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษาแห่งหนึ่งในจังหวัดเพชรบุรี
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jnat-ned/article/view/269137
<p>การวิจัยกึ่งทดลองแบบกลุ่มเดียววัดก่อนและวัดหลังการทดลองครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยความรู้และค่าเฉลี่ยพฤติกรรมการป้องกันการใช้สารเสพติดของนักเรียนหลังทดลองใช้โปรแกรมการพัฒนาทักษะชีวิตเพื่อป้องกันปัญหาสารเสพติด กลุ่มตัวอย่างเลือกแบบเฉพาะเจาะจงตามคุณสมบัติที่กำหนด คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-3 โรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษาในจังหวัดเพชรบุรี จำนวน 30 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1) แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล 2) แบบทดสอบความรู้เกี่ยวกับโทษและการป้องกันการใช้สารเสพติด 3) แบบสอบถามพฤติกรรมการป้องกันการใช้สารเสพติด และ 4) โปรแกรมการพัฒนาทักษะชีวิตเพื่อป้องกันปัญหาสารเสพติดในเยาวชน ใช้ระยะเวลาทดลอง 4 สัปดาห์ ประกอบด้วย กิจกรรมเสริมสร้างความตระหนักรู้คุณค่าของตนเองและผู้อื่น การพัฒนาความรู้เกี่ยวกับโทษและการป้องกันการใช้สารเสพติด การพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ตัดสินใจและแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ การส่งเสริมการจัดการกับอารมณ์และความเครียด การพัฒนาทักษะการสร้างสัมพันธภาพที่ดีกับผู้อื่น และการประเมินผลลัพธ์ เครื่องมือวิจัยผ่านการตรวจสอบจากผู้ทรงคุณวุฒิได้ค่าดัชนีความสอดคล้องของข้อคำถามเท่ากับ 0.67-1.00 ค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบความรู้เกี่ยวกับโทษและการป้องกันการใช้สารเสพติด เท่ากับ .69 และค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาคของแบบสอบถามพฤติกรรมการป้องกันการใช้สารเสพติดเท่ากับ .86 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที (paired t-test)</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า คะแนนเฉลี่ยความรู้เกี่ยวกับโทษและการป้องกันการใช้สารเสพติดของนักเรียนสูงกว่าก่อนการทดลอง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และคะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมการป้องกันการใช้สารเสพติดของนักเรียนสูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่าการใช้โปรแกรมการพัฒนาทักษะชีวิตช่วยให้นักเรียนมีความรู้และพฤติกรรมการป้องกันการใช้สารเสพติดเพิ่มขึ้น ดังนั้นโรงเรียนร่วมกับบุคลากรทีมสุขภาพควรนำโปรแกรมการพัฒนาทักษะชีวิตของนักเรียนที่พัฒนาขึ้นไปใช้เพื่อป้องกันและลดปัญหาการใช้สารเสพติดในโรงเรียน</p>
วิราวรรณ สว่างแจ้ง, นงณภัทร รุ่งเนย
Copyright (c) 2024 วารสารการพยาบาลและการดูแลสุขภาพ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jnat-ned/article/view/269137
Tue, 26 Mar 2024 00:00:00 +0700
-
ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความเครียดและการจัดการความเครียดของนักศึกษาพยาบาลที่ขึ้นฝึกปฏิบัติงานบนหอผู้ป่วยหนักทารกแรกเกิด
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jnat-ned/article/view/268712
<p>การวิจัยเชิงพรรณนาหาความสัมพันธ์ครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความเครียดและการจัดการความเครียด 2) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมกับความเครียดและการจัดการความเครียดกลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาพยาบาลศาสตรบัณฑิต ชั้นปีที่ 3 จำนวน 42 คน คัดเลือกโดยการสุ่มอย่างง่ายด้วยการจับฉลากตามเกณฑ์คัดเข้า เก็บข้อมูลระหว่างเดือนมีนาคม-มิถุนายน พ.ศ. 2566 เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลผ่านการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญ ได้แก่ 1) แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล 2) แบบสอบถามการขึ้นฝึกปฏิบัติการพยาบาลบนหอผู้ป่วยหนักทารกแรกเกิด 3) แบบสอบถามความเครียด และ 4) การจัดการความเครียดขณะขึ้นฝึกปฏิบัติงานหอผู้ป่วยหนักทารกแรกเกิด การทดสอบสัมประสิทธิ์แอลฟ่าของคอนบราคได้ค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามที่ 2,3, และ 4 เท่ากับ 0.99, 0.91 และ 0.97 ตามลำดับ หาความตรงเชิงเนื้อหาสอดคล้องกับวัตถุประสงค์รายข้อเฉลี่ยทั้งชุดเท่ากับ 1 และแบบบันทึกผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา และหาค่าสัมประสิทธิ์สัมพันธ์ของเพียร์สัน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนมีความสัมพันธ์ทางบวกกับวิธีการจัดการความเครียดขณะขึ้นฝึกปฏิบัติงานหอผู้ป่วยหนักทารกแรกเกิดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em> < .05) ปัจจัยด้านสัมพันธภาพกับอาจารย์ ด้านสถานที่ฝึกปฏิบัติงาน/สภาพแวดล้อม และโดยรวมมีความสัมพันธ์ทางลบกับความเครียดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em> < .01) ปัจจัยด้านการจัดการเรียนการสอนภาคปฏิบัติ ด้านพฤติกรรมการสอนของอาจารย์นิเทศ/พยาบาลพี่เลี้ยง ด้านสัมพันธภาพกับอาจารย์ ด้านสัมพันธภาพกับเพื่อน ด้านสถานที่ฝึกปฏิบัติงาน/สภาพแวดล้อม และโดยรวม มีความสัมพันธ์ทางบวกกับการจัดการความเครียด อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em> < .01) อาจารย์นิเทศและพยาบาลพี่เลี้ยงที่มีการถ่ายทอดความรู้ที่ดี และสร้างบรรยากาศที่ดีในการเรียนภาคปฏิบัติ จะส่งผลให้นักศึกษามีความสุขและสามารถจัดการความเครียดได้อย่างเหมาะสม</p>
เรืองฤทธิ์ โทรพันธ์ , สกลสุภา สิงคิบุตร, วรินทร์ ลาพ้น
Copyright (c) 2024 วารสารการพยาบาลและการดูแลสุขภาพ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jnat-ned/article/view/268712
Mon, 18 Mar 2024 00:00:00 +0700
-
การศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อภาวะตกเลือดหลังคลอด โรงพยาบาลหลังสวน จังหวัดชุมพร
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jnat-ned/article/view/269149
<p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อภาวะตกเลือดหลังคลอด โรงพยาบาลหลังสวน จังหวัดชุมพร ด้วยรูปแบบการวิจัยแบบ case-control study วิเคราะห์ปัจจัยของการเกิดภาวะตกเลือดหลังคลอด ทำการเก็บข้อมูลย้อนหลังจากบันทึกข้อมูลผู้คลอด ที่มารับบริการระหว่างเดือนตุลาคม พ.ศ. 2564 – กันยายน พ.ศ. 2566 จำนวนรวมทั้งสิ้น 144 แฟ้ม ซึ่งได้รับการคัดเลือกด้วยวิธีสุ่มอย่างง่ายแบบเฉพาะเจาะจง ด้วยแบบบันทึกข้อมูลคุณภาพการจัดการดูแลผู้คลอดเพื่อป้องกันภาวะตกเลือดหลังคลอด ซึ่งผ่านการพิจารณาความตรงเชิงเนื้อหาจากผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 3 ท่าน และทดลองเก็บข้อมูลจำนวน 25 แฟ้ม วิเคราะห์ค่าความเที่ยงของแบบบันทึกข้อมูลส่วนที่ 3 ด้วยการวิเคราะห์สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ภายใน (Inter-rater reliability) ได้ค่า ความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.81 วิเคราะห์ปัจจัยของภาวะตกเลือดหลังคลอดด้วย Binary logistic regression analysis</p> <p>ผลการศึกษาพบว่าปัจจัยร่วมที่ส่งผลให้เกิดภาวะตกเลือดหลังคลอดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ ผู้คลอดไม่ได้การชักนำการคลอดด้วยยา ผู้คลอดที่มีภาวะครรภ์เสี่ยงสูงขณะคลอด และผู้คลอดที่ไม่ได้รับการประเมินปริมาณเลือดหลังทารกคลอด ด้วยถุงตวงเลือด ซึ่งปฏิบัติการเชิงรุกในระยะที่สามของการคลอดเป็นกิจกรรมที่สำคัญ ซึ่งพยาบาลผดุงครรภ์สามารถดำเนินการได้ภายใต้แนวปฏิบัติที่ราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์กำหนด อย่างไรก็ตามการสร้างความตระหนักต่อการดำเนินงานตามแนวปฏิบัติ และการพัฒนาศักยภาพการดูแลผู้คลอดให้เป็นไปตามแนวปฏิบัติ เป็นเรื่องสำคัญที่ผู้บริหารต้องให้ความสำคัญ</p>
วรรณา เทพอาวุธ, พนิดา รัตนพรหม
Copyright (c) 2024 วารสารการพยาบาลและการดูแลสุขภาพ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jnat-ned/article/view/269149
Tue, 26 Mar 2024 00:00:00 +0700
-
ปัจจัยการรับรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมการป้องกันโรคติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบนของผู้ดูแลเด็กวัยก่อนเรียน อำเภอเมือง จังหวัดศรีสะเกษ
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jnat-ned/article/view/269166
<p>การวิจัยภาคตัดขวางนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้ด้านสุขภาพกับพฤติกรรมการป้องกัน โรคติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบนในผู้ดูแลเด็กวัยก่อนเรียน กลุ่มตัวอย่างเป็นบิดามารดาผู้ปกครองของเด็กวัยก่อนเรียน จำนวน 188 คน ที่อาศัยอยู่ในตำบลหนองแก้ว อำเภอเมือง จังหวัดศรีสะเกษ เลือกแบบเฉพาะเจาะจง 12 หมู่บ้าน เครื่องมือวิจัยประกอบด้วย 1) แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ดูแลเด็กและเด็ก 2) แบบสอบถามการรับรู้ด้านสุขภาพ 5 ด้าน ได้แก่ การรู้รับโอกาสเสี่ยงของการเกิดโรค การรับรู้ความรุนแรงของโรค การรับรู้ประโยชน์ของการปฏิบัติ การรับรู้ต่ออุปสรรคของการปฏิบัติ การรับรู้ความสามารถของตนเอง 3. แบบสอบถามพฤติกรรมการป้องกันการติดเชื้อโรคระบบทางเดินหายใจส่วนบนในเด็กวัยก่อนเรียน 5 ด้าน แบบสอบถาม ที่สร้างขึ้นมีความตรงตามเนื้อหาเท่ากับ 0.90 และทดสอบความเชื่อมั่นจากกลุ่มตัวอย่าง 30 คน ได้ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟ่า ของครอนบาคเท่ากับ 0.78 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนาและสถิติสัมประสิทธิสหพันธ์ของเพียร์สัน<br />ผลการศึกษาพบว่าผู้ดูแลเด็ก จำนวน 188 คน ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง คิดเป็นร้อยละ 97.90 พฤติกรรมการป้องกัน โรคติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบนของผู้ดูแลเด็กวัยก่อนเรียนภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง การรับรู้ด้านประโยชน์ของการปฏิบัติ มีความสัมพันธ์ทางบวกกับพฤติกรรมการป้องกันโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจในด้านการดูแลเกี่ยวกับโภชนาการและ ด้านการรักษาความอบอุ่นร่างกายเด็ก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ <em>p</em>< .01 ตามลำดับ การรับรู้ด้านความสามารถของตนเอง มีความสัมพันธ์ทางลบกับพฤติกรรมการป้องกันโรคติดเชื้อในด้านการดูแลให้ออกกำลังกายและการพักผ่อน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ <em>p</em>< .01 ผลการศึกษาครั้งนี้เป็นประโยชน์ในด้านการใช้ข้อมูลในการวางแผนจัดการป้องกันการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน ในสังคมไทยอย่างมีประสิทธิภาพต่อไป </p>
ณัฐฐ์ศศิ วิเศษหมื่น, ศิวิไล โพธิ์ชัย
Copyright (c) 2024 วารสารการพยาบาลและการดูแลสุขภาพ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jnat-ned/article/view/269166
Wed, 27 Mar 2024 00:00:00 +0700
-
การพัฒนาโปรแกรมส่งเสริมความสามารถของพยาบาลห้องผ่าตัดในการพยาบาลผู้ป่วยผ่าตัดกระดูกสะโพกหัก ตามแนวคิดการเรียนรู้โดยใช้สมรรถนะเป็นฐาน
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jnat-ned/article/view/268832
<p>การวิจัยและพัฒนานี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาโปรแกรมส่งเสริมความสามารถของพยาบาลห้องผ่าตัดในการพยาบาลผู้ป่วยผ่าตัดกระดูกสะโพกหักและศึกษาผลของโปรแกรมส่งเสริมความสามารถของพยาบาลห้องผ่าตัดในการพยาบาลผู้ป่วยผ่าตัดกระดูกสะโพกหัก ตามแนวคิดการเรียนรู้โดยใช้สมรรถนะเป็นฐาน กลุ่มตัวอย่างเลือกแบบเฉพาะเจาะจงตามคุณสมบัติที่กำหนดเป็นพยาบาลห้องผ่าตัด 33 คน และผู้ป่วยที่มารับการผ่าตัดกระดูกสะโพกหัก 54 คน เครื่องมือการวิจัย ได้แก่ เครื่องมือเก็บข้อมูล ได้แก่ 1) แบบประเมินความรู้พยาบาล 2) แบบประเมินสมรรถนะพยาบาลห้องผ่าตัด 3) แบบประเมินความพึงพอใจของพยาบาลห้องผ่าตัดต่อการใช้โปรแกรม 4) แบบสอบถามความพึงพอใจของผู้ป่วย และ 5) แบบบันทึกอุบัติการณ์การงด/เลื่อนเนื่องจากทีมพยาบาลไม่พร้อม การเคลื่อนหลุดของข้อสะโพกเทียม การติดเชื้อตำแหน่งผ่าตัด และภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัด ตรวจคุณภาพของเครื่องมือเก็บข้อมูล ได้ค่าความเชื่อมั่น 0.84, 0.90, 0.92, 0.86 และ 1 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และ t-test</p> <p> ผลการศึกษา พบว่า โปรแกรมฯ มี 4 กิจกรรม : 1) การเรียนรู้ด้วยตนเองจากคู่มือการพยาบาลและบทเรียนผ่านสื่อวีดีทัศน์ 2) การอบรมจากพยาบาลผู้เชี่ยวชาญ 3) การฝึกปฏิบัติ Workshop โดยการใช้สถานการณ์จำลองเสมือนจริง และ 4) ร่วมเรียนรู้และพัฒนาจากผู้เชี่ยวชาญพยาบาลพี่เลี้ยง ผลของการใช้โปรแกรม พบว่า ความรู้ของพยาบาลหลังใช้โปรแกรมสูงกว่าก่อนการใช้โปรแกรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em><.001) สมรรถนะของพยาบาลหลังใช้โปแกรมสูงกว่าก่อนการใช้โปรแกรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em><.05) พยาบาลและผู้ป่วยมีความพึงพอใจในระดับมาก หลังการใช้โปรแกรมไม่พบอุบัติการณ์การงด/เลื่อนเนื่องจากทีมพยาบาลไม่พร้อม การเคลื่อนหลุดของข้อสะโพกเทียม การติดเชื้อตำแหน่งผ่าตัด และภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัด โปรแกรมฯ นี้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในโรงพยาบาลที่มีการผ่าตัดผู้ป่วยกระดูกสะโพกหักทั้งในและนอกเขตบริการสุขภาพ</p>
จินต์จุฑา รอดพาล, พรพิมล พลอยประเสริฐ, อภิสิทธิ์ ปัทมารัตน์, ศิริรัตน์ จิรพัฒนวงศ์, จักรพงษ์ ขันธสิทธิ์, รฤก ศรีฤกษ์
Copyright (c) 2024 วารสารการพยาบาลและการดูแลสุขภาพ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jnat-ned/article/view/268832
Wed, 06 Mar 2024 00:00:00 +0700
-
ผลของโปรแกรมการส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพต่อพฤติกรรมการจัดการตนเองของผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jnat-ned/article/view/269521
<p>การวิจัยกึ่งทดลองแบบสองกลุ่มวัดก่อนและหลังเข้าร่วมโปรแกรมฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพต่อพฤติกรรมการจัดการตนเองของผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยที่มีภาวะไตเรื้อรังระยะที่ 3 ที่มารับการรักษาที่ศูนย์สุขภาพชุมชนเมืองวัดใต้ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี ใช้วิธีการสุ่มอย่างง่ายแบ่งเป็นกลุ่มทดลอง 22 คน และกลุ่มควบคุม 22 คน กลุ่มทดลองได้รับโปรแกรมการส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพเป็นเวลา 8 สัปดาห์ และกลุ่มควบคุมได้รับการดูแลตามปกติ เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามความรอบรู้ด้านสุขภาพ 6 ด้าน ได้แก่ ทักษะความรู้ความเข้าใจด้านสุขภาพ ทดสอบความเที่ยงด้วยวิธีของคูเดอร์-ริชาร์ดสัน 20 ได้ค่าความเที่ยงเท่ากับ .70 ทักษะการเข้าถึงข้อมูลและบริการสุขภาพ ทักษะการสื่อสาร ทักษะการจัดการตนเอง ทักษะการรู้เท่าทันสื่อ และ สทักษะการตัดสินใจ ทดสอบความเที่ยงได้ค่าสัมประสิทธิ์ของครอนบาค เท่ากับ .85 แบบสอบถามพฤติกรรมการจัดการตนเองทดสอบความเที่ยงได้ค่าสัมประสิทธิ์ของครอนบาค เท่ากับ .87 วิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติพรรณนา, Chi-square test, paired t-test, independent t-test </p> <p>ผลการวิจัย พบว่า หลังการเข้าร่วมโปรแกรม กลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยคะแนนความรอบรู้ด้านสุขภาพ และพฤติกรรมการจัดการตนเองมากกว่ากลุ่มควบคุมและมากกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ .01 ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่าโปรแกรม การส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพ มีผลต่อพฤติกรรมการจัดการตนเองของผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังในทางที่ดีขึ้น ดังนั้นจึงควรนำโปรแกรมการส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพมาใช้ในการดูแลผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังและผู้ป่วยโรคเรื้อรังอื่นๆในศูนย์สุขภาพชุมชน</p>
จรีนุช จินารัตน์
Copyright (c) 2024 วารสารการพยาบาลและการดูแลสุขภาพ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jnat-ned/article/view/269521
Thu, 28 Mar 2024 00:00:00 +0700
-
ความเสี่ยงทางคลินิกและบทบาทพยาบาลในการดูแลผู้ป่วยสูงอายุหลังผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมระยะฟื้นตัวเร็ว
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jnat-ned/article/view/268457
<p>โรคข้อเข่าเสื่อมในผู้สูงอายุเป็นปัญหาที่สำคัญของหลายประเทศทั่วโลก มีสาเหตุเกิดจากความเสื่อมของกระดูกอ่อนบริเวณผิวข้อเข่าและปัจจัยอื่นร่วมด้วยโดยเฉพาะอย่างยิ่งภาวะน้ำหนักเกินและมีการใช้งานของข้อเข่ามากขึ้น ผู้ป่วยสูงอายุโรคข้อเข่าเสื่อมต้องเข้ารับการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมเมื่อเข้าสู่ระยะที่ไม่สามารถให้การรักษาหรือฟื้นฟูสภาพข้อเข่าได้ด้วยวิธีอื่น ในปัจจุบันการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมเป็นวิธีการรักษาที่มีประสิทธิภาพสูงเนื่องจากช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ซึ่งผู้ป่วยต้องเข้ารับการพักรักษาตัวในโรงพยาบาลด้วยระยะเวลานอนที่สั้นลงเนื่องจากได้มีการประยุกต์แนวปฏิบัติในการส่งเสริมการฟื้นตัวอย่างรวดเร็วหลังผ่าตัดมาใช้ในกระบวนการดูแล ส่งผลให้สามารถฟื้นตัวได้เร็ว ลดอัตราการเกิดภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัดและลดความเครียด ช่วยให้ผู้ป่วยได้รับการจำหน่ายกลับไปฟื้นฟูสภาพร่างกายที่บ้านอย่างต่อเนื่องโดยไม่มีภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้น</p> <p> อย่างไรก็ตาม ช่วงเวลาฟื้นตัวเร็วของผู้ป่วยสูงอายุในระยะหลังผ่าตัดเป็นช่วงเวลาที่มีความสำคัญและเปราะบางเนื่องจากเป็นช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านที่ผู้ป่วยต้องมีการปรับตัวเป็นอย่างมาก ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดความเสี่ยงทางคลินิกหรือภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้นได้ บทความนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อสะท้อนแนวคิดและนำเสนอแนวปฏิบัติในการส่งเสริมการฟื้นตัวอย่างรวดเร็วหลังผ่าตัด การทบทวนความเสี่ยงทางคลินิกและภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้กับผู้ป่วยสูงอายุหลังการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมในระยะฟื้นตัวเร็วและบทบาทพยาบาลในการดูแลผู้ป่วย ซึ่งการทำความเข้าใจในแนวคิด บทบาท และความสามารถในการจัดการความเสี่ยงทางคลินิกจะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถฟื้นตัวและฟื้นฟูสภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p>
วรางคณา สาริพันธุ์
Copyright (c) 2024 วารสารการพยาบาลและการดูแลสุขภาพ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jnat-ned/article/view/268457
Wed, 28 Feb 2024 00:00:00 +0700
-
กลยุทธ์สู่ความสำเร็จของการใส่สายสวนหลอดเลือดดำส่วนปลายในผู้ป่วยเด็ก
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jnat-ned/article/view/268815
<p>การใส่สายสวนหลอดเลือดดำส่วนปลายเป็นหัตถการทางการพยาบาลที่พบได้บ่อยเมื่อผู้ป่วยเด็กเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ในผู้ป่วยเด็กบางรายอาจได้รับการใส่สายสวนหลอดเลือดดำส่วนปลายหลายครั้ง เพื่อให้ยา สารน้ำ เลือดหรือส่วนประกอบของเลือดตามคำสั่งการรักษา ซึ่งอาจสร้างความกลัวและความเจ็บปวดแก่ผู้ป่วยเด็ก ดังนั้นความสำเร็จของการใส่สายสวนหลอดเลือดดำส่วนปลาย นำไปสู่การรักษาที่ทันท่วงที ผู้ป่วยปลอดภัย ลดภาวะแทรกซ้อนที่อาจจะเกิดขึ้น โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่ต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน ลดระยะเวลาในการนอนรักษาในโรงพยาบาล อีกทั้งยังสร้างประสบการณ์ที่ดีในการใส่สายสวนหลอดเลือดดำส่วนปลายแก่ผู้ป่วยเด็ก ให้กล้าเผชิญหัตถการนี้อย่างเหมาะสมและให้ความร่วมมือในการทำหัตถการครั้งต่อไป การใส่สายสวนหลอดเลือดดำส่วนปลายแก่ผู้ป่วยเด็กให้สำเร็จนั้นประกอบไปด้วยปัจจัยหลายองค์ประกอบ ทั้งประสบการณ์ ทักษะความชำนาญของพยาบาล ความร่วมมือจากผู้ป่วยเด็ก และนวัตกรรมทางการพยาบาล บทความนี้จึงนำเสนอกลยุทธ์สู่ความสำเร็จของการใส่สายสวนหลอดเลือดดำส่วนปลายในผู้ป่วยเด็ก โดยการเพิ่มบทบาททางการพยาบาลให้สอดคล้องกับพัฒนาการของผู้ป่วยเด็กในแต่ละช่วงวัย เพื่อลดความกลัวและความปวด เพื่อให้ผู้ป่วยเด็กให้ความร่วมมือขณะทำหัตถการ เพิ่มประสิทธิภาพการพยาบาล การวินิจฉัยและการรักษาตามแผนการรักษาต่อไป</p>
ขวัญชนก ดาวฮามแป
Copyright (c) 2024 วารสารการพยาบาลและการดูแลสุขภาพ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jnat-ned/article/view/268815
Wed, 06 Mar 2024 00:00:00 +0700