พุทธจิตวิทยาบูรณาการเพื่อดุลยภาพองค์รวมผู้สูงอายุด้วยกระบวนการโยคะ พุทธจิตวิทยาบูรณาการเพื่อดุลยภาพองค์รวมผู้สูงอายุด้วยกระบวนการโยคะ

Main Article Content

manarat nimsakul

บทคัดย่อ

การวิจัยนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลองแผนแบบการทดลองแบบสองกลุ่มวัดก่อนและวัดหลังการทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อ ๑) เพื่อศึกษาสภาพปัญหา ดุลยภาพองค์รวมของผู้สูงอายุ วิเคราะห์หลักพุทธธรรม ทฤษฎีจิตวิทยารู้คิด และ แนวคิดเกี่ยวกับกระบวนการโยคะ ๒) เพื่อพัฒนาโปรแกรมพุทธจิตวิทยาบูรณาการเพื่อดุลยภาพองค์รวมผู้สูงอายุด้วยกระบวนการโยคะ ๓) เพื่อนำเสนอโปรแกรมพุทธจิตวิทยาบูรณาการเพื่อดุลยภาพองค์รวมผู้สูงอายุด้วยกระบวนการโยคะ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้สูงอายุ หมู่ที่ ๗ ตำบลโพงาม อำเภอสรรคบุรี จังหวัดชัยนาท ที่สมัครใจเข้าร่วมโปรแกรม จำนวน ๓๐ คน สุ่มอย่างง่าย แบ่งเป็นกลุ่มทดลอง และกลุ่มควบคุม กลุ่มละ ๑๕ คน กลุ่มแรกเข้าฝึกอบรม ๓ วัน ๒ คืน วัดประเมินผล ๓ ครั้ง ก่อนการทดลอง ภายหลังการฝึกอบรม และ ระยะติดตามผล ๑ เดือน กลุ่มที่สองใช้ชีวิตปกติ วิเคราะห์ด้วยสถิติพรรณนา และการวิเคราะห์ด้วยสถิติอ้างอิง เปรียบเทียบข้อมูล เพื่อทดสอบสมมุติฐาน ด้วยสถิติ T-test และ ค่า One-way ANOVA และ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยหลักการยืนยันสามเส้า (Triangulation Technic)   ผลการวิจัยพบว่า


             ๑) สภาพปัญหาดุลยภาพองค์รวมผู้สูงอายุ ได้แก่ ความเสื่อมทางร่ายกาย กลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDS) โรคกระดูกและข้อต่อเสื่อม  มีภาวะซึมเศร้า มีปัญหาความขัดแย้งในสังคม ขาดความเข้าใจที่มีเหตุผล ในการดำเนินชีวิตให้สมดุล


             ๒)  โปรแกรมพุทธจิตวิทยาบูรณาการเพื่อดุลยภาพองค์รวมผู้สูงอายุด้วยกระบวนการพุทธโยคะอินทรีย์สมดุล ๕ ขั้นตอน ดังนี้ ๑) ปรับสมดุลความเชื่อมั่นกับปัญญารู้คิด ๒) ปรับสมดุลความกล้าหาญในความพยายามกับสมาธิมุ่งมั่นเพื่อบรรลุเป้าหมาย  ๓) ตระหนักรู้และเชื่อมั่นในการพัฒนาสติ ๔) เข้าใจเหตุผล ยอมรับการเปลี่ยนแปลง ๕)  เข้าถึงผลลัพธ์เชิงประจักษ์จากการฝึกพุทธโยคะ


          ๓) ผลของการเปลี่ยนแปลงดุลยภาพองค์รวมผู้สูงอายุเมื่อเข้าโปรแกรม พบว่า การเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยดุลยภาพองค์รวมผู้สูงอายุรายด้านและโดยรวมระยะการทดลอง กับ หลังการทดลอง มีค่าแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .๐๕ สนับสนุนสมมติฐานข้อที่ ๑ และ เมื่อเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยดุลยภาพองค์รวมผู้สูงอายุรายด้านและโดยรวมหลังการทดลองระหว่างกลุ่มทดลอง กับกลุ่มควบคุม พบว่า คะแนนเฉลี่ยดุลยภาพองค์รวมผู้สูงอายุรายด้านและโดยรวมหลังการทดลองระหว่างกลุ่มทดลอง กับ กลุ่มควบคุม แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .๐๕ คะแนนเฉลี่ยดุลยภาพองค์รวมผู้สูงอายุรายด้านและโดยรวมของกลุ่มทดลองในระยะหลังการทดลอง สูงกว่า กลุ่มควบคุม ซึ่งสนับสนุนสมมติฐานที่ ๒ ข้อค้นพบอื่นๆ มีดังนี้ คะแนนเฉลี่ยดุลยภาพองค์รวมผู้สูงอายุรายด้านและโดยรวมก่อนการทดลองระหว่างกลุ่มทดลอง กับ กลุ่มควบคุม ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .๐๕ คะแนนเฉลี่ยดุลยภาพองค์รวมผู้สูงอายุรายด้านและโดยรวมก่อนการทดลองและหลังการทดลองในกลุ่มควบคุม ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .๐๕ คะแนนเฉลี่ยดุลยภาพองค์รวมผู้สูงอายุรายด้านและโดยรวมระยะติดตามหลังการทดลองระหว่างกลุ่มทดลอง กับ กลุ่มควบคุม แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .๐๕  คะแนนเฉลี่ยดุลยภาพองค์รวมผู้สูงอายุด้านร่างกายและโดยรวมหลังการทดลองและระยะติดตามในกลุ่มทดลอง แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .๐๕ และคะแนนเฉลี่ยดุลยภาพองค์รวมผู้สูงอายุด้านจิต สังคมและปัญญาหลังการทดลองและระยะติดตามในกลุ่มทดลองไม่ลดลงกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .๐๕ และ คะแนนเฉลี่ยดุลยภาพองค์รวมผู้สูงอายุรายด้านและโดยรวมหลังการทดลองและระยะติดตามในกลุ่มควบคุม ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                         

Article Details

บท
บทความวิจัย