การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1.ระดับความต้องการเรียนรู้และระดับการได้รับความรู้เรื่องเพศศึกษาจากพ่อแม่ของลูกวัยรุ่น ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา 2.ระดับการให้ความรู้เรื่องเพศศึกษาที่พ่อแม่ให้แก่ลูกวัยรุ่น ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา 3.แนวทางสำหรับพ่อแม่ในการให้ความรู้เรื่องเพศศึกษาที่ตอบสนองความต้องการของลูกวัยรุ่น ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา การวิจัยครั้งนี้แบ่งเป็น 2 ขั้นตอน คือ ขั้นตอน 1.การศึกษาระดับความต้องการของลูกวัยรุ่นในการเรียนรู้เรื่องเพศศึกษาจากพ่อแม่ และการศึกษาระดับของการให้ความรู้เรื่องเพศศึกษาที่พ่อแม่ให้แก่ลูกวัยรุ่น กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาแบ่งเป็น 2 กลุ่ม ประกอบด้วย กลุ่ม 1 คือ ลูกวัยรุ่นที่กำลังศึกษาอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ถึงปีที่ 3 โรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ระหว่างเดือนตุลาคม พ.ศ. 2555 ถึง เดือนมีนาคม พ.ศ. 2556 สุ่มตัวอย่างโดยใช้แบบสะดวก จำนวน 385 คน และ กลุ่ม 2 คือ พ่อหรือแม่ที่มีลูกวัยรุ่นทั้งเพศหญิงหรือเพศชาย โดยลูกกำลังศึกษาอยู่ชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 1 ถึงปีที่ 3 โดยเป็นพ่อแม่ของกลุ่มลูกวัยรุ่นตามกลุ่ม 1 สุ่มตัวอย่างโดยใช้แบบสะดวก จำนวน 385 คน เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสอบถามประเภทมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และขั้นตอน 2 ศึกษาแนวทางสำหรับพ่อแม่ในการให้ความรู้เรื่องเพศศึกษาที่ตอบสนองความต้องการของลูกวัยรุ่นในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยการจัดประชุมสนทนากลุ่ม มีผู้เข้าร่วมสนทนากลุ่ม จำนวน 7 คน ด้วยการเลือกแบบเจาะจง และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยเทคนิควิเคราะห์เนื้อหา
ผลการวิจัย พบว่า 1. ลูกวัยรุ่นมีความต้องการในการเรียนรู้เรื่องเพศศึกษาจากพ่อแม่ ภาพรวมอยู่ในระดับมาก ( 
=3.63, S.D.=0.83) แต่การได้รับความรู้เรื่องเพศศึกษาจากพ่อแม่ อยู่ในระดับปานกลาง ( =3.22 , S.D.=1.18) 2. การให้ความรู้เรื่องเพศศึกษาที่พ่อแม่ให้แก่ลูกวัยรุ่น ภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง ( =3.33 , S.D.=0.77) 3. แนวทางสำหรับพ่อแม่ในการให้ความรู้เรื่องเพศศึกษาที่ตอบสนองความต้องการของลูกวัยรุ่น มีดังนี้ 1) พ่อแม่ควรให้ความรู้เรื่องเพศศึกษาแก่ลูกตั้งแต่ลูกยังเด็กหรือก่อนเข้าสู่วัยรุ่น โดยการพูดคุยด้วยท่าทีที่เป็นกันเอง รับฟัง เป็นที่ปรึกษาและช่วยแก้ปัญหาให้ลูก 2) พ่อแม่ควรสอดส่องดูแลพฤติกรรมการเข้าถึงสื่อต่างๆ ของลูก คอยแนะนำ ตักเตือนและสอนลูกเป็นระยะๆ 3) พ่อแม่ควรเป็นแบบอย่างที่ดี เพื่อเป็นต้นแบบให้ลูกยึดเป็นแบบอย่างในการปฏิบัติตาม 4) ควรมีความร่วมมือกันระหว่างบ้านกับโรงเรียนในการสอนเรื่องเพศศึกษา
The purposes of this research are to study 1. levels of teenagers’ needs and receive on sex education from their parents, 2. levels of sex education providing to teenage children, 3. to suggest guidelines for parents to provide sex education to suit their teenage children’s needs in Phranakhon Si Ayutthaya province. The research methodology is divided into two steps: 1) to study levels of teenagers’ needs on sex education from their parents and study levels of sex education providing to teenage children, there were 2 sample groups. Group 1 samples is selected from 385 teenagers who were studying in Matthayom 1 to 3 at schools under Phranakhon Si Ayutthaya Secondary Education Service Area from October 2012 to March 2013 by convenience Sampling. Group 2 samples is selected from 385 fathers or mothers who had teenage daughters or sons who were studying in Matthayom 1 to 3. They were to the fathers or mothers of the teenagers in Group 1 by convenience Sampling. The research instrument used is a five-rating scale questionnaire. The statistical tools used for data analysis are percentage mean and standard deviation; 2) to suggest guidelines for parents to provide sex education to suit their teenage children’s needs by focus group. Focus group participants are 7 persons by purposive sampling. Data analysis are the content analysis technique.
The studies were found that 1. The overall sex education needs of teenage children was at the high level ( =3.63 , S.D.=0.83) and the overall sex education that teenage children receive was at the moderate level ( =3.08 , S.D.=0.81) 2. The overall sex education provision of parents to their teenage was at the moderate level ( =3.33 , S.D.=0.77) 3. approach to sex education provision of parents to their teenage children should 1)Parents shold educate their children about education. From childhood to adolescence By talking in a friendly manner,
